บทความชุด “จากใจสมาชิก WO เป็นผู้ถือหุ้น WC” ตอนที่ 2: หมอณี ถึงไม่ใช่สมาชิก WO แต่หัวใจนักสู้อีกคน

เริ่มแรกหมอณีมีอาชีพนวดแผนโบราณ จับเส้น คลายเส้น ได้เปิดร้านอยู่แถบบางบัวทองตั้งแต่ปี 2540 มีทั้งลูกค้าประจำและลูกค้าขาจรเวียนกันมาใช้บริการนวดจับเส้นเป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีปัญหาเรื่องเส้น อาทิ ปวดหลัง ปวดบริเวณส่วนต่างๆ กระทั่งถึงลูกค้าที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ได้เข้ามาใช้บริการบ่อยครั้ง โดยที่ลูกค้าของหมอณีจะมาจากการบอกปากต่อปาก จนเวลาผ่านหลายปี มีลูกค้าท่านหนึ่งมานวดจับเส้นที่ร้านโดยได้ยินจากท่านอื่นที่นวดกับหมอร้านนี้แล้วหายจึงตัดสินใจมานวดกับหมอณีที่ร้าน ซึ่งครั้งแรกที่มานวดได้เกริ่นถึงหลานของเขาได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ส่งผลให้กระดูกบริเวณคอหัก เนื่องด้วยปาฏิหาริย์ทำให้พ้นขีดอันตรายแต่ผลกระทบที่ตามมาคือ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ทั้งร่างกาย มีเพียงแค่ช่วงคอและสมองที่สามารถใช้การได้ดี ซึ่งทางลูกค้าท่านนี้ได้นำเรื่องราวของหลานตนมาปรึกษาว่ามีสิทธิ์ที่จะหายไหม หมอณีจึงได้ให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่ลูกค้าไป



ผ่านไปร่วมเดือนลูกค้าท่านเดิมได้กลับมานวดกับหมอณีอีกรอบ แต่ครั้งนี้ได้พาหมอณีไปรู้จักกับคุณปรีดา เพื่อให้หมอณีไปดูแลรักษานวดจับเส้นให้คุณปรีดาอาทิตย์ละ 1 ครั้งโดยประมาณ 10 กว่าปีต่อมา คุณปรีดาก็แต่งงานกับคุณเจี๊ยบ หมอณีก็ยังคงมานวดจับเส้นให้คุณปรีดา รวมเป็นเวลา 20 กว่าปี จนกระทั่งลูกสาวของหมอณีคลอดลูกจึงได้หยุดไปชั่วระยะเวลานึง และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่หมอณีล้มป่วยกะทันหันขยับตัวไม่ได้ คิดว่านอนพักคงดีขึ้น แต่ไม่ดีขึ้น จนต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการแขนขาอ่อนแรง เวียนหัว ไม่สามารถทรงตัวได้ ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ระบุว่าเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบเฉียบพลัน จึงเข้ารับการรักษาต่อไป แต่ด้วยนำส่งโรงพยาบาลไม่ทันท่วงที ผลกระทบที่ตามมาคือ ไม่สามารถใช้ร่างกายซีกขวาได้เลย กล่าวง่ายๆก็คือไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลยในขณะนั้น

 

จากนั้นหมออนุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แต่ต้องมาฝังเข็ม กายภาพบำบัด และเข้าตรวจตามนัด มีหน่วยงานจากราชการติดต่อมาทางโทรศัพท์ว่า จะมาช่วยเหลือที่บ้าน แต่เวลาผ่านไปเกือบ 2 ปีก็ไม่มีใครหรือหน่วยงานใดเข้ามาช่วยเหลือดูแลหรือเยียวยา ซึ่งตั้งแต่ล้มป่วยจนพักฟื้นที่บ้าน นอกเหนือจากญาติก็มีคุณปรีดาและคุณเจี๊ยบที่คอยติดต่อไถ่ถามอาการตลอด หลังจากพักฟื้นมาปีกว่า ก็สามารถกลับมานวดได้แต่อาจจะไม่เต็มที่เนื่องด้วยโรคที่เป็นอยู่ แต่ไม่อยากเป็นภาระให้แก่ครอบครัวจึงพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อโดยไม่เป็นภาระใคร

 



จนกระทั่งคุณปรีดาติดต่อมาให้ไปนวด เลยได้พบปะพูดคุยกัน ซึ่งคุณปรีดาได้เห็นสภาพอาการที่ไม่แข็งแรงต้องถือไม้เท้าตลอดเวลา จึงได้อธิบายชี้แจงถึงสิทธิคนพิการ คุณปรีดาและคุณเจี๊ยบ ยังให้เข้าอบรมให้มีความรู้เรื่องสิทธิคนพิการ รวมถึงพาไปทำบัตรคนพิการ และได้รับเบี้ยยังชีพคนพิการ 800 บาท ภายในวันเดียวกัน จนได้รับสิทธิมาตรา 35 ที่ได้รับเงินทุนในการนำมาประกอบอาชีพร้านค้าปลีก ให้มีรายได้เป็นของตนเอง หากพูดกันตามตรง ถ้าตัวหมอณีไม่ได้รู้จักกับคุณปรีดาและคุณเจี๊ยบก็อาจจะอยู่เพื่อมีชีวิตรอดให้ผ่านพ้นวันๆ นึงไปเท่านั้น คงไม่มีความสามารถที่จะสร้างรายได้เลี้ยงตัวเองหรือมีเงินทุนเพียงพอที่จะสร้างอาชีพใหม่อีกครั้ง ด้วยอายุที่มากแล้วทำให้มีข้อจำกัดมากมาย

 

ซึ่งทั้งหมดมานี้ที่เกิดขึ้น และจะมีไม่ได้ ถ้าหมอณีไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณปรีดาและคุณเจี๊ยบ ตัวหมอณีซาบซึ้งดีใจที่ได้รับโอกาสนี้ และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมูลนิธิปัญพัฒน์เพื่อคนพิการ หมอณีอยากเป็นตัวแทนในการกล่าวขอบพระคุณคุณปรีดาและคุณเจี๊ยบ ที่มีจิตใจแน่วแน่ มุ่งมั่น ใส่ใจ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและบุคคลไม่หวังดี ต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกต้อง จนถึงการผลักดัน สิ่งต่างๆที่ครอบครัวคนพิการ ควรได้รับและต้องได้รับ แก่คนพิการทุกคนได้รู้ ได้ทราบ และได้โอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หมอณีเป็นคนหนึ่งที่รู้จักอุปนิสัยใจคอคุณปรีดาและคุณเจี๊ยบเป็นอย่างดี เพราะได้เข้าไปถึงในบ้าน ได้ไปนวดจับเส้น ได้ใกล้ชิด ได้ยินได้ฟัง ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ขอบคุณที่ทำเพื่อทุกคนตลอดมา แม้จะเหน็ดเหนื่อยสักแค่ไหนก็ยังยืนหยัดเดินหน้าต่อสู้ให้แก่คนพิการ แก่มูลนิธิ แก่อุดมการณ์ที่แน่วแน่ ด้วยจิตใจที่ดีงามและบริสุทธิ์

 

จากใจ หมอณี ภาวิณี เพชรสุข จังหวัดนนทบุรี

29 มิถุนายน 2567